Saturday, February 10, 2007

Nihon – no – Reshipi (Part II)

Nihon - no - Reshipi in Hitomi's style

B. Dashi maki tamago --Rolled Egg -- ไข่ม้วน

Ingredients:

Eggs, Oil, Soy Sauce, and Sugar

Directions:

To prepare:
Mix eggs in a bowl with soy sauce and sugar. You will have the egg mixture.

To fry:

1) Pour very small amount of oil into a frying pan, use the medium heat.

2) Wipe a frying pan with a cloth swab moistened with oil.

3) Keep a cloth swab to use again.

4) Divide mixed eggs into several parts. It depends on how many rolls you want i.e. divide eggs into 4 parts, if you want your eggs got 4 rolls.

5) Pour the first part into the pan, then spread the eggs to the thin layer.

6) Break the bubbles by using chopsticks to get easy to roll eggs.

7) When the eggs almost done, roll the egg layer toward yourself with chopsticks.

8) Leave the first roll in the pan at the end of the pan away from you.

9) Wipe a pan with an oily swab.

10) Pour the second part of the egg mixture into the pan.


11) Spread the egg mixture to be a thin layer, while lifting the rolled egg to make the egg mixture spreads under the first roll.

12) Repeat Step 6) to 11) until the egg mixture is empty.


13) Remove from a frying pan to a plate, and then slice the rolled egg into pieces with 1 centimetre width each piece.


14) Ready to E-A-T....Oishii! Delicious! Aroi!

Nihon – no – Reshipi (Part I)

‘Nihon – no – Reshipi’ in Japanese means ‘Japanese Recipes’ in English, and means ‘สูตรอาหารญี่ปุ่น’ in Thai.

Today, we proudly present the most two delicious Japanese recipes in Hitomi’s style. Hitomi is a very nice Japanese girl who is having a wonderful life in Birmingham.

A. Abogado Sarada -- Avogado Salad -- สลัดอาโวคาโด


Ingredients:

Avocado

Iceberg lettuce


Tomato


Tofu


Salad Dressing:

1 part of Soy Sauce
1 part of Rice Vinegar
1 part of Oil (Sunflower oil or Sesame oil)

Directions:

1) Garnish all vegetable in a dish.

2) To do salad dressing; mix soy sauce, rice vinegar, and oil together.

3) Drizzle the salad dressing over salad.

4) Ready to E-A-T...ENJOY!!

Thursday, February 01, 2007

ของหายาก..มักราคาแพง (ไม่) เป็นปกติ

วันนี้ฉันไปทำแล็บตามปกติ ตอนเตรียมอุปกรณ์ทำแล็บตามปกติ ก็มีเรื่องไม่ปกติ ที่ทำให้ฉันตกใจ หน้าซีดผิดปกติ หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ มีเหงื่อที่ฝ่ามือมากกว่าปกติ สาเหตุก็เพราะเจ้าอิเล็กโทรดหรือขั้วไฟฟ้า (Electrode) ที่ใช้ทำการทดลองการกัดกร่อนดันหายไปซะอย่างงั้น ถ้าเป็นของอย่างอื่นหายฉันจะไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเลย หรืออาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีของหายไป แต่นี่ดันเป็นอิเล็กโทรดที่ทำจากลวดแพลตินัม (Platinum wire electrode; ที่ใช้แพลตินัมทำขั้วไฟฟ้าเพราะว่าแพลตินัมมีสมบัติต้านทานการกัดกร่อนที่ดีมาก) ถ้าชั่งน้ำหนักดูก็คงหนักไม่กี่กรัม ถ้าเป็นลวดทองแดงหรือลวดทองเหลืองจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่กลับเป็นแพลตินัมที่มีมูลค่าสูงมากๆ เลยรีบเข้าเว็บ http://www.kitco.com/ เช็คราคาแพลตินัมดูว่าราคาเท่าไหร่ แว๊บแรกเห็นตัวเลขแดงๆ (ราคาตก) ก็แอบดีใจ แต่พอคิดราคาดูแล้ว กรัมหนึ่งตกราวๆ 1,400 บาท ลมก็แทบจับ เพราะถ้าหนักห้ากรัมก็ปาเข้าไป 7,000 บาทแน่ะ คิดเป็นเงินปอนด์แล้วเช่าหออยู่ได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ค่าหอที่นี่โคตะระแพง แอบอิจฉาคนที่อยู่เมืองอื่นที่ค่าหอถูกกว่านี้เยอะมากๆ แต่ได้เงินเท่ากัน ทั้งๆ ที่ค่าครองชีพที่เมืองนี้ค่อนข้างสูง แต่ได้ค่าใช้จ่ายเท่าเด็กเมืองอื่น เพียงแค่เมืองที่เราอยู่เป็นเมืองที่อยู่นอกลอนดอน เฮ้อ หรือว่าปีหน้าจะย้ายไปอยู่ที่อื่นดีน้า ชักเริ่มรู้สึกท้อแท้กับแล็บการกัดกร่อนจริงๆ มันช่างค่อยๆ กัดกร่อนใจฉันทีละน้อยๆ จนแทบจะไม่เหลือกำลังใจอยู่เลย โอ๊ย! กลับมาเรื่องของหายต่อดีกว่า เห็นมั๊ยว่าของหายนี่มันทำให้จิตใจสับสนวุ่นวายไม่เป็นปกติจริงๆ นึกในใจว่าทำไงดีหนอ จะบอกพี่มากดีหรือเปล่าหนอ หรือจะไปหาซื้อมาคืน โอ๊ย คิดไม่ตก สับสนมากๆ (จริงๆ แล้ว ฉันกลัวโดนซุปตำหนิน่ะ) ไม่คิดว่าจะมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นจนได้ แต่สุดท้ายฉันก็ต้องบอกพี่มาก จริงๆ เมื่อวานของก็เพิ่งหายมา รู้มั๊ยคืออะไร เสื้อคลุมทำแล็บที่สลักชื่อความเป็นเจ้าของไว้ แต่ดันมีคนหยิบไปจากห้องแล็บจนได้ ไม่เข้าใจจริงๆ คนการศึกษาสูงๆ อยู่ประเทศศิวิไลซ์ ประเทศพัฒนาแล้ว ก็ไร้ระเบียบได้เหมือนกัน ฉันว่าคนพวกนี้ไร้ระเบียบมากกว่าคนในประเทศกำลังพัฒนาอย่างเราๆ ด้วยซ้ำ นอกจากความไร้ระเบียบแล้วเนี่ยนะ เรื่องความสกปรกโสโครกมาเป็นอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องขยะ ทิ้งขยะกันเกลื่อนกลาด ถังขยะอยู่ตรงหน้าแต่ไม่ทิ้ง ดันขว้างทิ้งลงตรงหน้านั่นแหละ อยากให้ไปทำแบบนี้ที่ประเทศสิงคโปร์จริงๆ เลย คงสนุกน่าดู

ตกลงนี่ฉันยังไม่กลับมาเรื่องของหายอีกเหรอเนี่ย จริงๆ แล้วฉันตั้งใจจะเล่าเรื่องแพลตินัมให้ฟังกันน่ะ เพราะไหนๆ วันนี้เจ้าแพลตินัมก็ทำให้จิตใจฉันไม่เป็นปกติแล้ว ก็ขอพูดถึงของหายาก..มักราคาแพง (ไม่) เป็นปกติ ซะหน่อย แพลตินัม หรือ Platinum เป็นโลหะมีค่าชนิดหนึ่ง จากโลหะมีค่าทั้งหมด 8 ชนิด อันประกอบไปด้วย ทอง (Gold) เงิน (Silver) โรเดียม (Rhodium) พัลลาเดียม (Palladium) อิริเดียม (Iridium) รูธิเนียม (Ruthenium) ออสเมียม (Osmium) และแพลตินัม (Platinum) แพลตินัมมีเลขอะตอม 78 น้ำหนักอะตอม 195.09 โครงสร้างผลึกแบบ FCC (face-centred cubic) มีสีขาว มีความหนาแน่น 21.45 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือด 1769 และ 3800 องศาเซลเซียส ตามลำดับ เวลาชั่งน้ำหนักแพลตินัมและโลหะมีค่าชนิดอื่นๆ จะชั่งน้ำหนักเป็นทรอยเวท (troy weight) โดยที่ 1 ปอนด์ทรอย (pound troy) จะเท่ากับ 12 ออนซ์ (ounce troy) หากจะเปลี่ยนน้ำหนักเป็นกรัม (gram) ก็ให้เอาน้ำหนักที่ชั่งได้เป็นออนซ์คูณด้วย 31.104 ก็จะได้น้ำหนักเป็นกรัม (1 ออนซ์ทรอย = 31.104 กรัม) ยกตัวอย่างการคิดราคาแพลตินัมจากราคาต่อออนซ์ (ในเว็บ
http://www.kitco.com/) ราคาแพลตินัม ณ วันที่ 31 มกราคม 2550 เวลา 21.44 น. (NY Time) 1 ออนซ์ราคา US$1182 คิดเป็นเงินไทยได้ 42,552 บาท (US$1 = 36 THB) คิดราคาต่อกรัมจะได้ 1,368 บาทต่อกรัม (หาร 42,552 ด้วย 31.104) เป็นต้น เห็นรึยังว่าแพงขนาดไหน สาเหตุที่แพลตินัมมีราคาแพงก็เพราะว่ามันเป็นโลหะที่หายาก และมีสมบัติดี ทั้งเรื่องความขาว ความแวววาว มีความเสถียรสูง คือไม่เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น และเฉื่อยต่อการเกิดปฏิกิริยากับกรดหรือสารเคมี แต่ไม่ใช่ว่ากรดจะไม่สามารถกัดแพลตินัมได้เลย เพราะอย่าได้เอาแพลตินัมไปแช่ไว้ในกรดกัดทอง (กรดที่มีส่วนผสมของกรดดินประสิว 1 ส่วนกับกรดเกลืออีก 3 ส่วน) เป็นอันขาด เพราะกรดกัดทอง (aqua regia) สามารถละลายแพลตินัมได้ โดยปกติราคาแพลตินัม (บางคนจะเรียกแพลตินัมว่าทองคำขาว) จะสูงกว่าราคาทองประมาณสองเท่า ไม่รู้ว่าราคาที่สูงของแพลตินัม เป็นสาเหตุทำให้คนนิยมเลือกแหวนแพลตินัมเป็นแหวนหมั้นหรือแหวนแต่งงานหรือเปล่า แต่ฉันว่ามันก็เป็นแค่เรื่องสมมติที่คนเราสร้างค่านิยมขึ้นมา แล้วบอกว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนั้นไม่ดี สิ่งนี้ราคาแพง สิ่งนั้นราคาถูก สิ่งนี้มีค่า สิ่งนั้นไม่มีค่า ซึ่งแท้จริงแล้วสิ่งที่ไม่มีค่าเป็นเงินทองของคนๆ หนึ่ง มันอาจจะมีคุณค่าทางจิตใจของอีกคนหนึ่งก็ได้ สำหรับฉัน ขอแค่แหวนดอกไม้ใบหญ้าก็พอ ไม่ต้องถึงกับเป็นแหวนแพลตินัมฝังเพชรหรอก ไม่รู้ว่าชาตินี้จะมีหวังได้สวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายกับเขาหรือเปล่า เพราะตั้งแต่โดนมีดเจ้ากรรมจูบไปทีตอนหั่นหอมหัวใหญ่ จนป่านนี้ก็ยังรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ที่แผลอยู่เลย แถมยังทิ้งแผลเป็นไว้ให้สะเทือนใจด้วย ไม่รู้ว่านี่เป็นลางร้ายหรือเปล่า (แอบเชื่อเรื่องโชคลาง ทั้งๆ ที่เรียนทางด้านวิทย์ หุหุ)

แหวนแพลตินัมฝังเพชร

ที่มา:
http://www.athensia.com/info/platinum-diamond-wedding-ring.htm


เจ้าแพลตินัมที่เขานำมาทำแหวนหรือเครื่องประดับ จะไม่ใช่เนื้อแพลตินัมที่มีความบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ช่างทองเขาจะผสมโลหะตัวอื่นลงไปเพื่อเพิ่มความแข็งและความแข็งแรงให้สามารถขึ้นรูปเป็นเครื่องประดับได้ (ใครอยากรู้ว่ามันแข็งขึ้นได้อย่างไร ก็เข้าไปอ่านที่นี่นะ http://evilaum.blogspot.com/2006/11/grain-size-effect.html) แพลตินัมบริสุทธิ์จะนิ่มมากจนไม่สามารถขึ้นรูปได้ โดยปกติเขาจะผสมโลหะอื่นลงไปอีก 5 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก ซึ่งจะทำให้มีเนื้อแพลตินัมบริสุทธิ์อยู่ 95 เปอร์เซ็นต์ เราจะเรียกว่า แพลตินัม 950 (Pt 950/ 950 Pt/ 950 Plat เป็นต้น) คือมีแพลตินัมบริสุทธิ์อยู่ 950 ส่วนจาก 1000 ส่วน หมายความว่าถ้าแหวนหนัก 100 กรัม ก็จะมีแพลตินัมบริสุทธิ์อยู่ 95 กรัม อีก 5 กรัมจะผสมด้วยโลหะชนิดอื่น เช่น ทองแดง พัลลาเดียม อิริเดียม โคบอล เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จะนิยมเติมอิริเดียม หรือรูธิเนียมลงไป โดยปกติเขาจะไม่นิยมทำต่างหูจากแพลตินัม เนื่องจากน้ำหนักที่ค่อนข้างสูงของแพลตินัมนั่นเอง

บางคนอาจสับสนระหว่างแพลตินัม (ทองคำขาว) กับทองขาว (white gold) ถ้าพูดถึงเครื่องประดับแพลตินัมก็จะหมายถึงแพลตินัม 950 หรือบางคนจะเรียกทองคำขาวก็ไม่ผิด ส่วนทองขาวหรือ white gold นั้น จะเป็นทอง (gold) ที่เติมโลหะนิกเกิลหรือพัลลาเดียมลงไปเพื่อเป็นตัวกัดสีทองให้ทองซึ่งมีสีเหลืองกลายเป็นสีขาว ซึ่งราคาของทองขาวนี้จะแพงกว่าทองผสมหรือทองกะรัต (carat gold) ที่มีความบริสุทธิ์เท่ากันอยู่เล็กน้อย เช่น ทองขาว 14 K (14K white gold) จะแพงกว่า ทอง 14 K (14K yellow gold) แล้วถ้ามีคนให้แหวนแพลตินัมคุณมาหนึ่งวง คุณจะทราบได้อย่างไรว่าเป็นแพลตินัมจริงหรือปลอม เรามีวิธีตรวจสอบง่ายๆ คือ แหวนแพลตินัมที่มีขนาดและรูปแบบเหมือนกันกับแหวนทองขาวทุกประการ จะมีน้ำหนักมากกว่า เนื่องจากแพลตินัมมีความหนาแน่น (density) สูงกว่าทองนั่นเอง เราสามารถหาความหนาแน่นของแหวนแพลตินัมได้คร่าวๆ โดยชั่งน้ำหนักแหวนเป็นกรัม และหาปริมาตรของแหวนตามวิธีทางเรขาคณิต โดยใช้หน่วยความยาวเป็นเซนติเมตร จะทำให้หาปริมาตรได้ในหน่วยลูกบาศก์เซนติเมตรได้ แล้วนำน้ำหนักที่มีหน่วยเป็นกรัม หารด้วยปริมาตรที่มีหน่วยเป็นลูกบาศก์เซนติเมตร จะได้ความหนาแน่นในหน่วย กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร (แพลตินัม 950 จะมีความหนาแน่นต่ำกว่าแพลตินัมบริสุทธิ์อยู่เล็กน้อย) เท่านี้ก็จะช่วยให้เราไม่โดนหลอกได้

หลังจากที่ฉันแบกหน้าซีดของฉัน ไปบอกพี่มากว่าฉันทำลวดแพลตินัมหาย แกก็ทำหน้าเฉยๆ แกช่างเป็นคนใจเย็นจริงๆ เลย แกช่วยฉันหาจนทั่วห้อง ค่อยๆ คิดว่ามันจะไปอยู่ตรงไหนได้บ้าง จนแกเดินมาหาตรงอ่างล้างมือ กวาดตาไปสักพัก แกก็ใช้มือหยิบขึ้นมาแล้วบอกว่าอยู่นี่ไง น่าแปลกจริงๆ คุณรู้มั๊ย ฉันมองหาอยู่ตรงนั้นสามรอบ แต่กลับไม่เจอ ไม่รู้มีอะไรบังตาไว้ เป็นอาถรรพ์อะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่คงไม่ใช่หรอก เพราะฉันเป็นคนหาอะไรไม่ค่อยเจอมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วล่ะ พ่อ แม่และพี่สาวฉันรู้ดีว่า ถ้าใช้ให้ไปหาอะไรให้ ไม่มีทางเจอแน่ๆ ทางที่ดีไปหาเองดีกว่า ของธรรมดาทั่วๆ ไป ฉันยังหาไม่เจอเลย จะเอาอะไรกับของหายาก...ราคาแพง ถ้าให้ฉันช่วยหา คงไม่มีทางเจอหรอก

Wednesday, January 24, 2007

หิมะมา...แต่ความเหงายังอยู่

อีกห้านาทีก็จะเป็นวันใหม่ของวันพุธที่ยี่สิบสี่ มกราคม สองพันห้าร้อยห้าสิบ ฉันเดินออกไปนอกห้อง มองออกไปนอกหน้าต่างตรงทางเดินที่เชื่อมห้องฉันกับห้องครัว มองผ่านๆ นึกว่าฝนตก แต่จริงๆ แล้วเป็นหิมะ นี่ถือเป็นหิมะแรกที่ฉันได้เจอที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ก่อนหน้านี้ได้เจอหิมะครั้งแรกในชีวิตที่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการเยี่ยมเยือนประเทศฝรั่งเศสที่ฉันประทับใจมากๆ

หิมะแรกที่กำลังตกลงมาจากฟ้า ณ เมืองเบอร์มิงแฮม นอกหน้าต่างแฟลตซีหก ดูเปอร์ฮอลล์ มันช่างงดงามจริงๆ เวลาหิมะตกลงมากระทบกับแสงไฟสีเหลืองนวลนอกแฟลต ที่มองออกไปแล้วเจออีกแฟลต เจอลานจอดรถกว้างๆ มีรถจอดอยู่เกือบเต็มลาน มันช่างสวยจริง สีขาวของหิมะที่ตกลงบนพื้นหญ้า พื้นซีเมนต์ของลานจอดรถ และบนตัวรถที่จอดอยู่ มันช่างดูเย็นชาเหมือนใครบางคนเหลือเกิน แต่ฉันพบว่ายังมีความสวยงามแฝงอยู่ในความเย็นชานั้น ฉันใช้เวลายืนมองหิมะแรกนี้เกือบสิบนาที สายหิมะที่ค่อยๆ ตกลงมากระทบพื้นด้านล่าง มันสวยจนทำให้ฉันหยุดคิดเรื่องอื่นๆ ไปได้ แต่ใช่ว่ามันจะช่วยทำให้ฉันหยุดเหงาได้ มีคนบอกว่ายิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ แต่นี่ฉันหนีมาไกลขนาดนี้แล้ว มันก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ดี ความเจ็บจากความเหงามันรุนแรงมากกว่าความเจ็บจากความใกล้ด้วยซ้ำไป หิมะแรกครั้งนี้มันทำให้ฉันรู้ว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว ยิ่งไกลยิ่งเหงา...

...หิมะมา...แต่ความเหงายังอยู่...

Saturday, January 20, 2007

Quote of The Day

“มนุษย์จะรับรู้สิ่งที่เป็นรูปธรรมได้มากกว่านามธรรม รูปธรรมคือสิ่งที่คนเรามองเห็นได้ด้วยตา อันเป็นประตูแรกในการรับรู้ พอรับรู้แล้วก็จะนำมาแปลความจากประสบการณ์เท่าที่มีอยู่ แล้วใช้ค่านิยมเดิมมาตัดสินคนอื่นซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ โดยเฉพาะในยุคทุนนิยมที่เรายึดถือความมีและไม่มีเป็นหลัก”
โดย แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์
กรมสุขภาพจิต

Friday, January 12, 2007

จดหมายถึงเธอ

อีกไม่กี่วันก็จะครบรอบสี่เดือนที่เราได้รู้จักกัน ตั้งแต่วันแรกที่ฉันพบเธอจนถึงวันนี้ ฉันมีความรู้สึกว่ายังรู้จักเธอได้ไม่มาก ยังไม่สามารถเข้าถึงเธอ แม้เธอจะเป็นคนเปิดเผย เต็มใจให้ฉันเรียนรู้ก็ตามที สำหรับฉันมันมีอะไรบางอย่างก็ไม่รู้ ที่ทำให้ฉันไม่สามารถเข้าถึงเธอได้ลึกซึ้ง อาจเป็นเพราะเราพูดคุยกันคนละภาษา เธอไม่เข้าใจภาษาของฉัน แต่ฉันพอจะเข้าใจภาษาของเธอบ้าง

จากวันแรกที่เราเจอกันฉันก็พยายามที่จะเรียนรู้ภาษาของเธอให้มากขึ้น เพื่อที่ฉันจะสามารถสื่อสารความรู้สึก ความคิด ต่างๆ ที่ฉันรู้สึก ที่ฉันคิด ให้เธอได้รับรู้ ให้เธอเข้าใจ แต่จนแล้วจนเล่า ใกล้ครบสี่เดือนที่เราได้รู้จักกันแล้ว ฉันก็ยังพูดคุยกับเธอไม่ค่อยเข้าใจ แต่ฉันก็ชอบเธอนะตรงที่เธอมีความพยายามที่จะเข้าใจฉัน เข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด ฉันรู้สึกดีมากที่เธอเปิดใจ อ้าแขนยอมรับฉัน ให้ฉันได้มาอยู่ใกล้ชิดเธอเพื่อทำความรู้จักเธอให้มากขึ้น ฉันก็หวังว่าเราคงจะสามารถที่จะคบหากันได้นานขึ้น นานขึ้น เป็นห้าเดือน หกเดือน หนึ่งปี สองปี หรือนานกว่านั้น โดยที่ฉันคงไม่เบื่อเธอไปก่อน (ซึ่งฉันจะพยายามเต็มที่) ฉันหวังว่าระยะเวลาที่นานขึ้นที่เราได้เรียนรู้กัน (คงเป็นฉันมากกว่าที่ต้องเรียนรู้เธอ) จะทำให้ฉันเริ่มเข้าใจเธอมากขึ้น รู้สึกอบอุ่นมากขึ้น เพราะตั้งแต่รู้จักเธอและอยู่ใกล้ชิดเธอ ฉันรู้สึกถึงความอบอุ่นแบบนับครั้งได้ มันช่างน่าเศร้าจริงๆ จริงไหม ฉันหวังว่าความใกล้ชิดจะทำให้ฉันรักเธอมากขึ้น มากขึ้นทุกๆ วัน

ฉันขอบคุณที่เธอพยายามที่จะเข้าใจในสิ่งที่ฉันพยายามพูด ที่ฉันพยายามสื่อให้เธอรู้ ให้เธอเข้าใจถึงความคิดของฉัน ฉันรู้ดีว่าเธอคงไม่มีวันเบื่อฉันเป็นแน่แท้ แต่ฉันก็ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่นัก ว่าตัวฉันเองจะมีความอดทนกับเธอมากเพียงใด อย่างน้อยฉันก็ตั้งความหวังไว้ว่า ฉันจะไม่จากเธอไปไหนจนกว่าฉันจะได้สิ่งที่ฉันต้องการ ซึ่งเธอก็คงรู้ดีว่าคืออะไร ฉันรู้ว่าเธอไม่สามารถให้ฉันได้ในเร็ววันนี้ แต่เธอหารู้ไม่ว่า ฉันเต็มใจที่จะอดทนรอให้สิ่งที่ใครๆ ก็บอกว่ามันเหนื่อยนักที่จะทำให้เธอยอมมอบสิ่งนี้ให้กับฉัน สิ่งที่ต้องแลกด้วยความอดทน ความตั้งใจ ความมุ่งมั่น และความสามารถ ถึงแม้ว่าฉันจะมีความสามารถอันน้อยนิด แต่ทว่าความมุ่งมั่นและความตั้งใจที่ฉันมี ฉันคิดว่าฉันจะสามารถทำให้เธอมอบสิ่งนี้ให้กับฉันได้ หากวันใดที่ฉันได้สิ่งนี้กลับไป ฉันจะไม่ลืมเธอแน่นอน และฉันสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมเธออีกครั้ง ฉันรักเธอนะ...ประเทศอังกฤษ...

ปล. ฉันส่งรูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวกไม่สวมแว่นดำ (ฉันถ่ายเอง) ของน้องหมีที่เธอให้ฉันเป็นของขวัญวันคริสต์มาสมาให้ดูด้วย หวังว่าเธอคงชอบนะ เธอจำได้ไม๊ น้องหมีที่เธอยื่นให้ฉัน แต่ฉันต้องจ่ายตังค์เองน่ะ

Sunday, December 17, 2006

เชื่อมชิ้นงาน ประสานใจ - Soldering Love

วันนี้ได้ฤกษ์อัพบล็อกซะที หลังจากที่ฉันหัวหมุนกับแล็บการทดสอบการกัดกร่อนมานานสองนาน หนึ่งเดือนที่ผ่านมาฉันหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องใต้ร่มผ้า อย่าเพิ่งแอบคิดมากล่ะ คือว่าฉันต้องทดลองหาสภาวะที่เหมาะสมที่ทำให้ชิ้นงานของฉันเกิดการกัดกร่อนในมุมอับ ศัพท์เทคนิคเขาจะเรียกว่า Crevice Corrosion ซึ่งก็คือการกัดกร่อนแบบรอยซ้อน มีรุ่นพี่ฉันคนหนึ่งให้คำแปลเจ้า Crevice Corrosion ว่าการกัดกร่อนใต้ร่มผ้า ฟังครั้งแรกก็ตกใจ แต่นึกดูแล้วก็ขำดี แกช่างหาคำแปลที่ลงตัวเสียนี่กะไร จากการลงแรงทำการทดลองทุกวัน (ยกเว้นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ยังมีเวลาไปช้อปปิ้งอยู่บ้าง) เรียนรู้การทดลองจากพี่มาก (ใครไม่รู้จักพี่มากก็ลองไปอ่านบล็อกก่อนหน้านี้นะ) มาพอสมควร ก็พบว่า การทดลองของฉันได้ผลเป็นที่น่าพอใจกว่าของพี่มากด้วยซ้ำ (ฉันแอบดีใจลึกๆ อิอิ) เนื่องจากว่าฉันทำการทดลองซ้ำหลายๆ ครั้ง ก็พบว่าผลการทดลองที่ได้มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน แต่ของพี่มากเอง กลับมีการคลาดเคลื่อนค่อนข้างมาก จนวันหนึ่งแกก็มาขอให้ฉันลองทำการทดลองกับชิ้นงานของแกดูบ้าง เพราะเป็นไปได้ว่าความคลาดเคลื่อนอาจเกิดจากเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองก็ได้ แต่ยังบอกอะไรได้ไม่มากนัก เพราะมันเพิ่งแค่เริ่มต้นทดลองเองน่ะ

ก่อนการทดสอบการกัดกร่อนในชิ้นงาน ฉันต้องเชื่อมชิ้นงานให้ติดกับลวดทองแดงเพื่อให้สามารถนำไฟฟ้าได้ แล้วจึงนำไปต่อกับอุปกรณ์หรือเซลไฟฟ้าเคมีเพื่อใช้ในการทดสอบ ขั้นตอนการเตรียมชิ้นงานก่อนนำไปต่อกับเซลไฟฟ้าเคมี เป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดสำหรับฉัน เนื่องจากว่าชิ้นงานของฉันมีขนาดเล็ก มีขนาดพื้นที่หน้าตัดที่ใช้เชื่อมต่อกับลวดทองแดงค่อนข้างน้อย จึงเป็นการยากมากที่จะเติมน้ำประสานหรือโลหะประสาน (solder) เพื่อให้ลวดทองแดงยึดติดกับผิวหน้าตัดของชิ้นงานได้ดี นี่เป็นครั้งแรกของฉันที่ต้องเชื่อมชิ้นงานโดยใช้หัวแร้งไฟฟ้า และใช้โลหะประสานที่มีจุดหลอมตัวต่ำที่ทำจากโลหะผสมพวกดีบุก – ตะกั่วน่ะ โดยปกติแล้วฉันเคยเชื่อมชิ้นงานจำพวกโลหะเงิน และทองเหลืองมาก่อนหน้านี้ (สมัยยังสาวๆ) โดยใช้หัวเป่าไฟ (torch) ซึ่งอุณหภูมิที่ใช้ในการเชื่อมชิ้นงานจะสูงกว่าการใช้น้ำประสานพวกตะกั่ว–ดีบุกเยอะเลย แต่จะเชื่อมได้ง่ายกว่าการใช้หัวแร้งไฟฟ้าเป็นไหนๆ

เจ้าน้ำประสานที่ฉันพูดถึงก่อนหน้านี้ มันไม่ใช่ของเหลวอย่างชื่อนะ จริงๆ มันคือของแข็งทำจากโลหะสองชนิดขึ้นไปมาผสมกันเพื่อลดจุดหลอมตัวให้ต่ำลง เพื่อที่มันจะได้ละลายและไหลเข้าไปเชื่อมประสานชิ้นงานที่ต้องการได้ง่าย แต่พอโดนความร้อนเข้าหน่อย เจ้าโลหะผสมที่ว่าก็อ่อนระทวย ไหลเหมือนน้ำขึ้นมาทันที โลหะแต่ละตัวแต่ละชนิดก็จะมีจุดไหลที่แตกต่างกันไป อันนี้เป็นสมบัติเฉพาะตัวของมันเอง คงจะคล้ายๆ กับผู้หญิงกระมังที่แต่ละคนมีจิตใจที่อ่อนไหวแตกต่างกันไป อย่างฉันนี่มีความอ่อนไหวในระดับสูงมากถึงมากที่สุด แต่น้ำประสานกับผู้หญิงยังมีข้อแตกต่างกันนะ เพราะเจ้าน้ำประสานที่ว่าเนี่ย ถ้าเป็นชนิดเดียวกันมันก็จะมีจุดไหลที่แน่นอน แต่ผู้หญิงอย่างเราๆ นี่สิ ในผู้หญิงคนเดียวกันก็จะมีความอ่อนไหวในตัวเองที่แตกต่างกันทุกๆ ครั้ง โดยความอ่อนไหวในแต่ละครั้งก็จะแปรไปตามสิ่งรอบข้างที่เข้ามารบกวนจิตใจเราว่ามีดีกรีของความสามารถในการทำให้อ่อนไหวมากน้อยเพียงใด…เขียนเองแล้วงงเอง ว่าแต่ว่าคุณอ่านแล้วงงหรือเปล่าเนี่ย...

กลับมาที่การเชื่อมชิ้นงานของฉันดีกว่า ก่อนเชื่อมชิ้นงานฉันต้องจัดการขัดผิวชิ้นงานให้เรียบ ปราศจากคราบออกไซด์ แล้วนำไปล้างให้สะอาด ปราศจากสิ่งสกปรก เพราะหัวใจหลักของการเชื่อมให้ได้คุณภาพดี ผิวเชื่อมติดกันแน่น คือ ความสะอาด โดยผิวหน้าชิ้นงานที่จะเชื่อมทั้งสองชนิดต้องสะอาดมากๆ น้ำประสานต้องสะอาด รวมทั้งปลายหัวแร้งไฟฟ้าก็ต้องสะอาดด้วย ทุกอย่างต้องสะอาด เมื่อเชื่อมแล้วชิ้นงานก็จะประกบและติดกันแน่น ไม่หลุดออกจากกันง่าย ดูๆ ไปก็คล้ายๆ การประสานใจของคนสองคน ถ้าใจของคนทั้งสองสะอาดปราศจากมลทินภายในใจ ไม่มีทิฐิ อคติต่อกัน เวลาเราจะรวมใจสองใจให้เป็นหนึ่งเดียวก็จะทำได้ง่ายมาก และเมื่อใจสองใจหลอมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ก็ยากที่จะมีอะไรมาแยกใจทั้งสองให้ขาดจากกันได้ (น้ำเน่าไปไหมนี่) แต่อย่าลืมนะว่า..ใจสองใจจะประสานกันได้ ก็ต้องมีตัวประสาน หากตัวประสานเป็นสิ่งดีๆ ที่สะอาดๆ มันก็จะคอยช่วยให้ใจสองใจของคนสองคนประสานกันได้อย่างดี และยิ่งถ้าใจสองใจคิดเหมือนกัน หรือที่เราเรียกว่าใจตรงกัน มันก็ง่ายที่จะหลอมรวมกัน (จริงไหม) ก็เหมือนกับโลหะสองชนิดที่จะเชื่อมต่อกันนั่นแหละ หากเป็นชนิดเดียวกันแล้วล่ะก็ มันก็จะประสานยึดติดกันดีมากๆ หากว่าโลหะทั้งสองต่างชนิดกัน ก็คงต้องใช้น้ำประสานที่มีคุณภาพดีหน่อย ก็จะช่วยให้การเชื่อมประสานติดแน่นยิ่งขึ้น

เพ้อเจ้อมามาก เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า (เขียนมาตั้งนาน..ยังไม่เข้าเรื่องอีกเหรอเนี่ย..อย่าบ่นเป็นคนแก่ไปหน่อยเลย บอกตัวเองน่ะ เหอๆ) นอกจากชิ้นงานกับน้ำประสาน (โลหะประสาน) แล้วเนี่ย มีอีกอย่างที่คอยเป็นตัวช่วยให้ชิ้นงานเชื่อมติดกันแน่น คือ ฟลักซ์ (Flux) ซึ่งก็คือผงบอแรกซ์ (Borax) หรือช่างจะเรียกว่า เผ่งแซนั่นเอง เจ้าผงบอแรกซ์จะเป็นผงขาวๆ คล้ายผงซักฟอกแต่เม็ดจะละเอียดกว่า หน้าตาเหมือนในรูปนั่นแหละ เจ้าผงบอแรกซ์ที่ว่านี้ มีสูตรทางเคมีคือ Na2B4O7 10H2O (Hydrous Sodium Borate) เขาจะใส่เจ้าเผ่งแซนี้ไปขณะเชื่อมด้วย ก็เพราะว่า เผ่งแซหรือฟลักซ์นี้จะช่วยทำให้การยึดติดและการไหลตัวของน้ำประสาน (solder) ดียิ่งขึ้น เพราะโดยปกติเมื่อโลหะถูกความร้อนจะเกิดออกไซด์สีดำ ซึ่งเป็นผลจากการเกิดปฏิกิริยาของโลหะกับออกซิเจนในอากาศ ทำให้การยึดติดและการไหลตัวของน้ำประสานไม่ดีนัก นอกจากนี้เผ่งแซยังช่วยเพิ่มความสามารถในการเปียกและการไหลของน้ำประสาน และยังช่วยลดแรงตึงผิวของโลหะอีกด้วย

ภาพผงบอแรกซ์ หรือฟลักซ์

ก่อนไปดูเรื่องความสามารถในการเปียก (Wettability) ความสามารถในการไหล (Flowability) และแรงตึงผิว (Surface Tension) ลองมาตอบคำถามง่ายๆ (ง่ายจริงๆ) เพื่อดูสิว่าคุณรู้เรื่องการเปียก (Wetting) มาก่อนหรือเปล่า จากภาพด้านล่าง มีหยดน้ำสีฟ้าสดอยู่สามหยด คือ หยด A หยด B และหยด C โดยน้ำทั้งสามหยดได้หยดลงบนพื้นผิวสีเหลือง (Surface; S) คุณคิดว่าหยดน้ำหยดใดที่สามารถทำให้พื้นผิว S เปียกได้มากที่สุด (เฉลยท้ายบล็อกนะจ๊ะ...ใครตอบถูก ก็ทิ้งอีเมลไว้ จะส่งรางวัลไปให้)

ที่มา : http://commons.wikimedia.org/wiki/Image:Surfacetension.png

ความสามารถในการเปียก ความสามารถในการไหล และแรงตึงผิวของโลหะ มีผลต่อการเชื่อมอย่างไรบ้าง หากน้ำประสานมีสมบัติในการไหลที่ดี จะช่วยให้น้ำประสานไหลเข้าไปตามซอกหรือร่องที่เราต้องการเชื่อมได้ดี และหากน้ำประสานมีความสามารถในการเปียกมากก็จะเกาะติดกับชิ้นงานได้ดีนั่นเอง หากใครไม่เข้าใจเรื่องของการเปียก ให้นึกถึงน้ำกลิ้งบนใบบอน จะเห็นว่าน้ำจะเป็นหยดกลมๆ กลิ้งไปกลิ้งมาโดยที่ใบบอนไม่เปียกเลย และหยดน้ำก็จะไม่เกาะติดกับผิวใบบอนเลย จะคล้ายๆ กับคำพังเพย “น้ำกลิ้งบนใบบอน” ที่เขาเอาไว้เปรียบเปรย คนที่มีใจโลเล ใจไม่แน่นอน สามารถเปลี่ยนไปอยู่ได้เรื่อยๆ กลอกกลิ้งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ยอมยึดเกาะกับสิ่งใดเลยนั่นแหละ เขามักจะพูดเปรียบเปรยผู้หญิงที่มีใจโลเลว่า ‘น้ำใจหญิงเหมือนกลิ้งบนใบบอน’ แต่ฉันว่าสำนวนนี้น่าจะเหมาะกับผู้ชายมากกว่า (คุณว่าจริงไหม) ปรากฏการณ์ที่หยดน้ำไม่ยอมเกาะติดใบบอน นั่นก็คือหยดน้ำไม่เปียกใบบอนนั่นเอง เราจะเรียกลักษณะนี้ว่า ‘Non-wetting’ ซึ่งมุมสัมผัสระหว่างหยดน้ำกับผิวของใบบอน (Contact angle; Alpha) มีค่าเท่ากับ 180°

ปรากฏการณ์น้ำกลิ้งบนใบบอน

ที่มา : http://www.geocities.com/koguggug/trips/jatujak45/jatujak45.html

ในกรณีเดียวกันกับการเปียกของน้ำประสานกับชิ้นงาน หากมุมสัมผัสระหว่างน้ำประสานกับผิวชิ้นงานมีขนาด 180° นั่นคือน้ำประสานและชิ้นงานไม่เกิดการเปียกเลย ซึ่งก็มีผลให้น้ำประสานไม่เกาะกับชิ้นงาน และหากมุมสัมผัสที่ว่านี้มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ นั่นก็คือน้ำประสานจะสามารถเกาะกับชิ้นงานได้มากขึ้น หากมุมสัมผัสของน้ำประสานกับผิวชิ้นงานมีขนาดเท่ากับ 0° ก็จะหมายความว่าน้ำประสานสามารถเปียกบนผิวชิ้นงานได้อย่างสมบูรณ์ (Perfect wetting)… ดูรูปประกอบด้วยนะ... โดยปกติถ้าจะให้งานเชื่อมประสานมีคุณภาพดี มุมสัมผัสระหว่างน้ำประสานกับผิวชิ้นงานควรต่ำกว่า 33° มากๆ

ภาพแสดงการเปียก (Wetting) และมุมสัมผัสการเปียก (Contact angle)
ที่มา :
http://www.ami.ac.uk/courses/ami4812_map2/u03/hjm/index.asp

สำหรับแรงตึงผิวก็จะมีความสัมพันธ์กับการเปียก โดยหากแรงตึงผิวระหว่างน้ำประสานและผิวชิ้นงานมีมาก นั่นก็หมายความว่าน้ำประสานมีความสามารถในการเปียกต่ำบนผิวชิ้นงานนั้น จากรูปด้านล่าง แสดงความสัมพันธ์ระหว่างแรงตึงผิว (Surface tension; T) กับมุมสัมผัส (Contact angle; Theta) ดังสมการ... (ดูภาพด้านล่างประกอบ)

Tsg = Tsl + Tlg (cos Theta)

Tsg คือ แรงตึงผิวระหว่างของแข็งกับก๊าซ (solid – gas surface tension) -- ระหว่างผิวชิ้นงานกับอากาศ
Tsl คือ แรงตึงผิวระหว่างของแข็งกับของเหลว (solid – liquid surface tension) -- ระหว่างผิวชิ้นงานกับน้ำประสาน (solder)
Tlg คือ แรงตึงผิวระหว่างของเหลวกับก๊าซ (liquid – gas surface tension) -- ระหว่างน้ำประสานกับอากาศ

ภาพความสัมพันธ์ระหว่างแรงตึงผิว (T) กับมุมสัมผัสของการเปียก (Theta)
ที่มา : http://www.answers.com/topic/contact-angle

สรุปได้ว่า หากเราต้องการให้งานเชื่อมมีคุณภาพดี เราต้องควบคุมปัจจัยต่างๆ ได้แก่

(1) ผิวชิ้นงานที่จะเชื่อมต้องสัมผัสกันให้สนิท ต้องตระหนักไว้เสมอว่าน้ำประสานหรือโลหะประสานไม่ได้มีไว้เพื่อเติมเต็มช่องว่างระหว่างผิวที่จะเชื่อม แต่มีไว้เพื่อเป็นตัวประสานให้ผิวชิ้นงานทั้งสองยึดติดกัน
(2) ผิวชิ้นงานและน้ำประสานที่สะอาดจะทำให้รอยยึดต่อของผิวชิ้นงานที่เชื่อมแน่น
(3) เผ่งแซหรือฟลักซ์จะช่วยให้ผิวชิ้นงานตรงรอยเชื่อมไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน และลดการเกิดของโลหะออกไซด์ที่เกิดจากความร้อนได้
(4) ต้องเลือกใช้น้ำประสานให้เหมาะกับชนิดของชิ้นงาน และใช้ในปริมาณที่เหมาะสมด้วย
(5) อุณหภูมิในการเชื่อม ต้องใช้อุณหภูมิที่สูงกว่าจุดไหลตัวของน้ำประสาน (flow point) โดยจุดไหลตัวจะมีอุณหภูมิสูงกว่าจุดหลอมตัว (melting point) ของโลหะประสานนั้นๆ เล็กน้อย

สุดท้ายที่ลืมไม่ได้ อย่าลืมว่า หัวใจหลักของการเชื่อมประสานให้มีคุณภาพดี ผิวยึดติดกันแน่น คือ ความสะอาดทั้งชิ้นงานและน้ำประสาน เหมือนการประสานใจคนสองคน ที่ต้องมีใจบริสุทธิ์และกาวใจที่สะอาด เพื่อให้เกิดการประสานที่ติดแน่น ยากที่จะมีสิ่งใดมาทำให้แยกจากกันได้

หมายเหตุ Solder ในที่นี้คือโลหะประสานหรือโลหะบัดกรี โดยช่างทองจะเรียกโลหะประสานนี้ว่า "น้ำประสาน" ส่วนช่างอื่นๆ จะเรียกว่า "โลหะบัดกรี"

ส่วนบอแรกซ์ที่เขาใช้ใส่ในอาหารหรือลูกชิ้นเพื่อให้อาหารกรอบ จะเรียกว่า "น้ำประสานทอง" ส่วนช่างทองจะเรียกผงบอแรกซ์นี้ว่า "เผ่งแซ"

เฉลยคำถามท้ายบล็อก :
ตอบ -- หยดน้ำ C เนื่องจากว่าหยดน้ำ C มีมุมสัมผัสระหว่างหยดน้ำกับพื้นผิวสีเหลืองต่ำมาก นั่นก็หมายความว่า หยดน้ำสามารถเปียกชิ้นงานได้มากที่สุดนั่นเอง

----------------------------------------------------------------

When I look at the sky. I don't see stars , but I see particles.
When I look at the tree. I don't see twigs, but I see dendrite.