Sunday, October 26, 2008

The Story of Maths: The Frontiers of Space

You can check the third part of 'The Story of Maths' out here;

http://www.bbc.co.uk/iplayer/episode/b00f3n43/b00f3mxn/The_Story_of_Maths_The_Frontiers_of_Space/

It's about the history of mathematics in the 17th century in Europe.

One part of the programme is about Isaac Newton who is not only a physicist but also a mathematician. He is very famous in physics on his discovery of gravity and also a one of the most famous contributors in developing the calculus.

Wednesday, October 15, 2008

The Story of Maths: The Genius of the East

This is the second part of four-part series of The Story of Maths.

http://www.bbc.co.uk/iplayer/episode/b00dzy91/The_Story_of_Maths_The_Genius_of_the_East/

Marcus du Sautoy looks at the rise of mathematics in the East, discovering how it helped build imperial China and finding out about the invention of algebra.

Monday, October 13, 2008

Eye Jewellery

The first new technique of Eye Jewellery was performed in The Netherlands in 2004. A tiny platinum jewel stud is inserted into the eyeball as shown in the picture below.


Read the article here: http://news.bbc.co.uk/1/hi/health/3610379.stm

The latest Eye Jewellery Project was revealed in 2008. The project was designed by Eric Klarenbeek, an artist. This eye jewellery was displayed in an exhibition of jewellery influenced by the natural world, described as “a heady mix of taxidermy, genetic-engineered jewellery and natural pearls". The exhibition was hosted by The Wonder Room at Selfridges department store in London.

ericklarenbeek dot com

Tuesday, October 07, 2008

The Story of Maths: The Language of the Universe

Watch The Story of Maths: The Language of the Universe. Marcus du Sautoy looks at the contributions of the great Greek mathematicians.

http://www.bbc.co.uk/iplayer/episode/b00dwf4f

This is such a good programme of BBC. Wish Thai media would produce this kind of programme.

Saturday, October 04, 2008

The Aesthetics of Number 9


เลข “9” อ่านออกเสียงภาษาไทยว่า “เก้า” คนไทยเชื่อว่าเป็นเลขดีมีมงคล เพราะจะทำให้มีความเจริญก้าวหน้า

วันก่อนได้สอนเด็กคูมองท่องสูตรคูณ เด็กที่นี่คิดเลขเร็วจริงๆ เร็วกว่าเราด้วยซ้ำ นั่งดูเด็กท่องสูตรคูณแค่สองรอบ เด็กๆ ก็จำได้ขึ้นใจ

สูตรคูณแม่เก้า มีความสวยงามของตัวเลขอยู่
เมื่อนำตัวเลขที่ได้จากผลลัพท์ของการคูณเลขเก้าด้วยจำนวนเต็มบวกตั้งแต่ 1, 2, 3,... เป็นต้นไป มารวมกันจนได้ผลบวกเป็นเลขตัวเดียว จะพบว่าสุดท้ายจะได้ผลบวกเป็นจำนวน 9 เสมอ

9 x 1 = 9
9 x 2 = 18, 1+8 = 9
9 x 3 = 27, 2+7 = 9
9 x 4 = 36, 3+6 = 9
9 x 5 = 45, 4+5 = 9
9 x 6 = 54, 5+4 = 9
9 x 7 = 63, 6+3 = 9
9 x 8 = 72, 7+2 = 9
9 x 9 = 81, 8+1 = 9
9 x 10 = 90, 9+0 = 9
9 x 11 = 99, 9+9 = 18, 1 + 8 = 9
9 x 12 = 108, 1+0+8 = 9
9 x 13 = 117, 1+1+7 = 9
9 x 14 = 126, 1+2+6 = 9
9 x 15 = 135, 1+3+5 = 9
.
.
.
ลองคูณ 9 ด้วย 111; 9 x 111 = 999, 9+9+9 = 27, 2+7 = 9

นอกจากจำนวน 9 ที่ไม่ว่าจะคูณด้วยจำนวนเต็มบวกใดๆ ผลรวมของตัวเลขที่ได้จากผลลัพท์ จะเท่ากับ 9 เสมอแล้ว จำนวนที่ประกอบไปด้วยเลข 9 เช่น 99, 999, 9999,... ก็ให้ผลลัพท์เช่นเดียวกัน

เลขเก้า “9” ช่างเป็นเลขที่สวยงามจริงๆ

Tuesday, August 26, 2008

Amber Earrings : My Birthday Gift

วันคล้ายวันเกิดปีนี้ ได้ของขวัญมากมายหลายชิ้น (มากๆ) จากเพื่อนๆ ที่น่ารักที่เบอร์มิงแฮม มีชิ้นหนึ่งเป็นต่างหูอำพันสีเขียวกระจุ๋มกระจิ๋ม ซึ่งพี่นกสุดสวยเป็นคนมอบให้ ต่างหูคู่นี้ตัวเรือนเป็นเงินสเตอร์ลิง 925 (Sterling Silver) ส่วนพลอยรูปไข่เป็นอำพันสีเขียวเข้ม น่ารักมากๆ ขอบคุณนะคะพี่นก ชอบมากเลยค่ะ

พอได้รับกล่องของขวัญวันเกิดจากพี่นก หลังจากแกะห่อของขวัญออก แว่บแรกที่เห็นต่างหูคู่นี้ พาลให้นึกถึงเหตุการณ์หนึ่งที่กรุงลอนดอน ขณะที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังสาธิตสมบัติการเกิดไฟฟ้าสถิตของอำพัน โดยถูอำพันก้อนหนึ่งบนผ้ากำมะหยี่สักพัก แล้วพยายามหาเศษอะไรที่เบาๆ เพื่อจะสาธิตว่าอำพันดูดเศษเบาๆ นี่ได้ เขาคงหาเศษเบาๆ ไม่ได้ เลยยื่นก้อนอำพันมาดูดที่ผมของฉัน ณ เวลานั้นแอบตกใจเล็กๆ และตื่นเต้นมากหน่อย -_-‘

ไม่ใช่ว่าตื่นเต้นลุ้นไปกับเขาว่าอำพันจะดูดผมฉันติดหรือเปล่า แต่แอบตื่นเต้นตกใจกับการที่ได้ยืนอยู่ใกล้ๆ กับคนที่ฉันแอบปลื้ม ใกล้ขนาดที่ว่ารู้สึกถึงเสียงลมหายใจเบาๆ ของเขา แอบปลื้มในที่นี้เพราะเขาเป็นคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันรู้สึกสนใจและชอบในเรื่องของ senso-aesthetic materials ตอนที่เขาถูอำพันบนผ้าครั้งแรกอำพันดูดผมฉันไม่ติด เขาหน้าเจื่อนเล็กน้อย แล้วถูใหม่อีกรอบ ครั้งนี้อิเล็กตรอนคงวิ่งจากผ้ากำมะหยี่เข้าไปในเนื้ออำพันมากหน่อย ก็เลยดูดผมฉันติด สมบัติที่ว่านี้เป็นลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของอำพัน

หากใครเชื่อเรื่องอัญมณีเสริมดวง อำพันเป็นพลอยประจำคนเกิดวันจันทร์เนื่องจากโดยปกติอำพันมีสีเหลืองทอง ส่วนพลอยสีเขียวเป็นพลอยที่ช่วยเสริมความมีเดช มีอำนาจให้กับคนเกิดวันจันทร์ ดังนั้นหากคนที่สวมเครื่องประดับอำพันสีเขียว ก็จะช่วยเสริมโฉลกให้เป็นศรี เดช และมีอำนาจ

นึกถึงอำพันและของขวัญวันเกิดที่ได้ เลยพาลให้ฉันอยากเขียนถึงอำพันขึ้นมา เลยอยากจะเขียนเรื่องอำพันให้อ่านสักเล็กน้อย เผื่อมีใครที่กำลังมองหาอำพันไว้เป็นของขวัญให้เพื่อน คนพิเศษ หรือแม้กระทั่งเป็นของขวัญให้ตัวเอง จะได้อ่านไว้เป็นความรู้กันบ้าง หรือใครที่อยากจะหาอำพันไว้ทดสอบสมบัติไฟฟ้าสถิต ก็ดูน่าสนุกไม่เบา ^__^

อำพัน (Amber) เกิดจากยางไม้หรือยางสนที่แข็งตัวจนกลายเป็นหิน มีซากดึกดำบรรพ์อยู่ภายใน มีอายุหลายล้านปี ปกติจะมีสีเหลือง ส้ม น้ำตาลส้ม หรือน้ำตาลแดงซึ่งเป็นสีที่นิยมมาก จึงเป็นที่มาในการเรียกสีน้ำตาลแดงว่า ‘สีแดงอำพัน’ นอกจากนี้ยังพบอำพันที่มีสีเขียว ถึงเขียวอมน้ำเงินอีกด้วย พบอำพันครั้งแรกแถบทะเลบอลติก โดยพบที่ริมฝั่งทะเล และลอยอยู่กลางทะเล สาเหตุที่อำพันลอยน้ำทะเลได้เนื่องจากอำพันมีความถ่วงจำเพาะต่ำมาก เพียง 1.05 ถึง 1.10 เท่านั้น อำพันสามารถลอยในน้ำทะเลได้ แต่จะจมในน้ำธรรมดา เนื่องจากน้ำมีความถ่วงจำเพาะเพียง 1 เท่านั้น ส่วนน้ำเกลือมีความถ่วงจำเพาะสูงกว่า คือ 1.15

อำพันธรรมชาติหรืออำพันแท้จะมีซากแมลง ใบไม้ เปลือกไม้อยู่ภายใน โดยลักษณะของแมลงภายในอำพันธรรมชาติจะมีลักษณะกำลังตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด ซึ่งจะไม่พบในอำพันเลียนแบบ อำพันเลียนแบบจะทำจากพลาสติกหรือหินจากยางไม้ชนิดอื่นพวกยางไม้ชัน (Copal*) หินจากยางไม้ชัน (copal) สามารถลอยน้ำทะเลได้เช่นเดียวกับอำพันแท้ เนื่องจากมีความถ่วงจำเพาะต่ำใกล้เคียงกับอำพันแท้ คือ 1.03 – 1.08 Copal ทั่วๆ ไปจะเบากว่าอำพันแท้เล็กน้อย

อำพันสามารถเรืองแสงได้ภายใต้แสงยูวี (Ultraviolet) โดยจะเรืองแสงได้แสงสีเหลือง น้ำเงิน เขียว หรือส้ม อำพันเรืองแสงได้เนื่องจากปริมาณซัลเฟอร์ที่อยู่ในเนื้อหินนั่นเอง โดยอำพันจะเรืองแสงสีเข้มหากอำพันนั้นมีปริมาณซัลเฟอร์อยู่ภายในเนื้อมาก นอกจากนี้ถ้าถูอำพันบนผ้าที่ทำจากขนสัตว์หรือผ้ากำมะหยี่ อำพันจะเกิดไฟฟ้าสถิตขึ้นจากการถ่ายเทอิเล็กตรอนจากผ้าไปยังอำพัน ทำให้อำพันสามารถดูดวัสดุเบาๆ ได้

วิธีตรวจสอบอำพันว่า “แท้” หรือ “เทียม” ?

วิธีที่ 1 ใช้อะซีโตนหรือน้ำยาล้างเล็บ หยดลงบนผิวอำพัน ถ้าเป็นอำพันแท้ ผิวอำพันจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเป็นอำพันเทียมที่ทำจากยางไม้ชันหรือพลาสติกจะไม่สามารถทนสารเคมีพวกนี้ได้

วิธีที่ 2 อำพันแท้จะไม่ละลายเมื่อโดนความร้อน แต่จะให้กลิ่นไหม้ที่หอมคล้ายกำยานหรือพวกเครื่องหอม และให้ควันสีดำ ส่วนอำพันปลอมพวก copal หรือพลาสติกเมื่อโดนความร้อนจะหลอมละลายให้กลิ่นสารเคมีที่เหม็นฉุน โดยควันของ copal จะมีสีขาว และควันของพลาสติกจะมีสีดำ

วิธีที่ 3 อำพันแท้และ copal สามารถลอยในน้ำเกลือ เนื่องจากมีความถ่วงจำเพาะต่ำกว่าน้ำเกลือ ส่วนพลาสติกที่ใช้ทำอำพันเลียนแบบจะจมในน้ำเกลือ เพราะพลาสติกส่วนใหญ่จะมีความถ่วงจำเพาะสูงกว่าน้ำเกลือ

วิธีที่ 4 อำพันแท้จะเรืองแสงภายใต้แสงยูวี ส่วน copal จะไม่เรืองแสง

วิธีที่ 5 อำพันแท้มีความแข็งตามสเกลโมห์ (Moh’s scale) ประมาณ 2.5 ส่วน copal มีความแข็งประมาณ 1.5 เล็บของคนเรามีความแข็งประมาณ 2 ดังนั้นเล็บจะขีด copal เป็นรอยได้ ในขณะที่อำพันแท้จะไม่เป็นรอยหากขีดด้วยเล็บ

-----------------------------------------------------------------------
*Copal เป็นยางไม้ที่มีอายุน้อยกว่าอำพันมาก มีอายุเพียงร้อยกว่าปีเท่านั้น เรียก Copal ว่า 'Young Amber'
ขอบคุณ: http://www.materialslibrary.org.uk/

Monday, August 25, 2008

Thailand wins Gold Medal in Men's 51kg Boxing in Olympics 2008

Somjit Jongjohor holds the portrait of Thailand's King Bhumibol Adulyadej.

Somjit Jongjohor (blue) competes against Andris Laffita Hernandez.
http://en.beijing2008.cn/news/sports/headlines/boxing/n214578518.shtml

Somjit Jongjohor (สมจิต จงจอหอ), a 33 year old man of Burirum, Thailand wins Gold Medal in Men's flyweight 51kg Boxing competition in Beijing 2008 Olympic Games #29. He defeated Andris Laffita Hernandes of Cuba 8-2. Somjit was lost the World Championship to Andris Hernandes 3 years ago in China. Somjit gets the Gold Medal for Thailand eventually.
You are a hero, Somjit!!
---23 August 2008----

Saturday, August 23, 2008

Are you in hot water?

วันนี้อ่านข่าวเกี่ยวกับกุ๊กไฮโซเซเลบริตี้ เขาเขียนข่าวว่า
"TV chef Jamie Oliver is in hot water over a joke he made"

'You are in hot water' เป็น idiom หมายความว่า 'You are in a difficult situation in which you are likely to be punished' หรือความหมายง่ายๆ คือ 'You are in trouble'

คุณเคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ไหม
Are you in hot water?

Many thanks: http://idioms.thefreedictionary.com/

Thursday, August 21, 2008

Second Medal for Thailand in Olympics 2008

http://en.beijing2008.cn/news/sports/headlines/taekwondo/n214567676.shtml

Buttree Puedpong - บุตรี เผือดผ่อง (blue) , a 17 year old girl, gets a silver medal in Women's Taekwondo - 49 kg in Beijing 2008, Olympic Games. She was defeated by Wu Jingyu of China.
Well done!! Buttree (Nong Song) You're amazing!!

Monday, August 18, 2008

Do not judge a book by its cover

วันนี้ไปจ่ายตลาดที่ซุบเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านมา อีกสองวันจะมีงานปาร์ตี้ที่บ้าน เลยคิดอยากจะทำเครื่องดื่ม (มืนเมา) ให้เพื่อนได้ลองดื่มกัน ก่อนหน้านี้ได้ไปงานปาร์ตี้บ้านเพื่อน เพื่อนชาวมัลต้า* ทำเครื่องดื่มชนิดหนึ่ง ที่ใครๆ ชิมแล้วต้องติดใจ จึงขอสูตรเขามา ส่วนผสมก็ง่ายๆ

- Red wine (dry) ที่ราคาถูกที่สุด 1 ขวด
- Vodka 1 ลิตร
- แฟนต้าน้ำส้ม 1 ขวด
- แฟนต้าน้ำมะนาว 1 ขวด
- ส้มสด และเลมอนสด หั่นสี่ส่วน

วิธีทำก็ง่ายๆ ให้ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ชิมรส แล้วเติมน้ำตาลไปเรื่อยๆ จนกว่าเมื่อชิมดูแล้วไม่มีรสของวอดก้าเหลืออยู่ แล้วเติมน้ำแข็งเล็กน้อย เป็นอันเสร็จ ทำง่ายๆ แค่นี้ ใครสนใจอยากเอาสูตรไปลองทำดูก็ได้

ประเด็นที่อัพบล็อกไม่ใช่เรื่องสูตรเครื่องดื่มแต่อย่างใด แต่วันนี้ที่ไปเดินจ่ายตลาดหาซื้อของกินเข้าบ้าน ได้ไปเลือกพวกเครื่องดื่มสำหรับงานปาร์ตี้ อย่างเช่นวอดก้ามีหลายยี่ห้อ หลายขนาด วางอยู่บนชั้นหลายชั้น ทำให้เลือกไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเอาแบบไหนดี พอดีตาเหลือบไปมองเห็นวอดก้ายี่ห้อ Sainsbury’s วางอยู่ที่ชั้นล่างสุด และอยู่ด้านใน (หลืบ) สุด ถ้าไม่ตั้งใจมองจะมองไม่เห็นเลย วอดก้ายี่ห้อนี้มีความบริสุทธิ์ 37% vol ปริมาตร 70 cl (0.7 ลิตร) มีสองแบบ คือ (หนึ่ง) แบบขวดสวย กับ (สอง) แบบขวดไม่สวย แบบขวดสวย ราคา £7.99 ส่วนอีกแบบราคา £6.57 วอดก้าที่บรรจุอยู่ในขวดเป็นชนิดเดียวกัน เพียงแต่บรรจุภัณฑ์ (package) ต่างกันทำให้ราคาแตกต่างกัน ขวดราคาถูกกว่าเขามีคำบรรยายไว้สั้นๆ ว่า ‘no fancy packaging, just Vodka’ บอกให้ลูกค้ารู้ว่า ‘ไม่มีขวดสวยนะ มีแต่วอดก้า’ นั่งนึกซักพักเลยเลือกหยิบขวดราคาถูก เพราะคิดว่าจะเอาไปผสมเครื่องดื่ม ไม่ได้เอาไปวางบนโต๊ะไว้ดื่มกับน้ำมะนาวสักหน่อย แต่ถ้าจะต้องเลือกเพื่อเอาไปดื่มบนโต๊ะ ก็คงเลือกขวดสวย (กว่า)

จริงๆ แล้วแพคเกจนี่มีอิทธิพลในการเลือกซื้อของของฉันอยู่เหมือนกัน แต่ก็ต้องดูจุดประสงค์ว่าจะเลือกของไปใช้ในงานแบบไหน แต่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มที่ต้องซื้อมาบริโภคเอง มักจะไม่ค่อยดูที่แพคเกจเท่าไหร่ สินค้าอุปโภคบริโภคบางอย่าง ผลิตภัณฑ์ภายในจะคล้ายๆ กัน เช่น ซีเรียล น้ำผลไม้ น้ำอัดลม อาหารกระป๋อง ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม ฯลฯ ถ้าเป็นยี่ห้อที่บริษัทซุบเปอร์มาร์เก็ตผลิตมาจำหน่ายเอง (เช่น Sainsbury’s หรือ Tesco) จะมีราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากยี่ห้อชื่อดังที่มีโฆษณาขึ้นบนหน้าจอทีวีทั่วไป เวลาฉันเลือกซื้อผลิตภัณฑ์พวกนี้ก็จะเลือกยี่ห้อที่มีราคาถูกกว่า เพราะรสชาติของผลิตภัณฑ์จะคล้ายๆ กัน ยกเว้นน้ำอัดลมที่ยังไงฉันก็จะเลือกดื่ม ‘โค้ก’ เท่านั้น เพราะรสชาติดีกว่า (อย่างไร...ก็โค้ก) แต่พวกซีเรียลหรืออาหารกระป๋องที่ได้ลองมาหลายๆ แบบ ก็รู้สึกว่ารสชาติของผลิตภัณฑ์จะคล้ายๆ กัน ยี่ห้อและแพคเกจสวยๆ นี่ ทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นมาได้จริงๆ

คุณเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้บ้างหรือเปล่า แล้วคุณเลือกสินค้าแบบไหน แบบราคาถูกแพคเกจไม่สวย หรือแบบแพคเกจสวยแต่ราคาแพง จริงๆ แล้วเราควรเชื่อสุภาษิตที่บอกว่า ‘Do not judge a book by its cover’ เราไม่ควรตัดสินคนหรือของจากสิ่งห่อหุ้มภายนอก เพราะหนังสือหน้าปกสวย ใช่ว่าจะมีเนื้อหาดีเสมอไป หรือคนที่มีหน้าตา บุคลิกดี ใช่ว่าจะเป็นคนดีเสมอไป
--------------------------------------------------------------------
* Malta เป็นประเทศเล็กๆ ที่เป็นเกาะ อยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ยุโรปตอนใต้ ใกล้ๆ กับประเทศอิตาลี
มีประชากรสี่แสนกว่าคนเท่านั้น ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก
แม้ว่าจะมีประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศอิตาลีมายาวนาน แต่ภาษาราชการคือ มัลติส และอังกฤษ
ได้รับอิสรภาพคืนจากอังกฤษใน คศ. 1964 และเข้าเป็นสมาชิก EU เมื่อปี 2004
----ขอบคุณวิกิพีเดีย สารานุกรมอิสระ ----

Gold Medal for Thailand in Olympics 2008


Thailand wins a gold medal in Olympic Games 2008 in Beijing.

Prapawadee Jaroenrattanatarakoon wins the first gold medal for Thailand in the women's 53kg weightlifting.
Congratulations!!!

Thailand Go Go!!

Sunday, 10 August 2008 15:51 UK




Friday, August 15, 2008

Harry Potter's Magic Invisibility Cloak -- เสื้อคลุมล่องหนของแฮร์รี่ พอตเตอร์



The invisibility cloak of Harry Potter!!!

Magic or Material ?

เสื้อคลุมล่องหนของแฮร์รี่ พอตเตอร์

เวทมนตร์ หรือ วัสดุ ?

หาความจริงได้ที่ http://news.bbc.co.uk/1/hi/sci/tech/7553061.stm

You will see how fascinating the materials are!!!

Monday, August 11, 2008

รักแม่ - Love You Mum



แด่...แม่

ไม่ว่าลูกจะอยู่ไกลห่างจากแม่เพียงใด
ลูกยังรู้สึกได้ถึง...ความรัก..ความอบอุ่น
ความห่วงหา..อาทร..ที่แม่มีให้
ลูกรับรู้ถึง..ความคิดถึง
ความปรารถนาดี..ที่แม่มีให้
ลูกเข้าใจใน..ความรักที่แม่มีให้
ที่แม่คอยเอาใจใส่..ดูแลไม่เคยห่าง

ณ วันนี้

ลูกตระหนักถึงทุกสิ่งที่แม่ทำให้
ทุกสิ่งที่ประเมินค่ามิได้
ทุกสิ่งที่ลูกรับรู้ได้..ด้วยใจ
และจะไม่มีสิ่งใดมาทดแทนความรักอันยิ่งใหญ่
ที่แม่มีให้..กับลูก

ลูกอยากบอกแม่ว่า...

“รักแม่ที่สุดในโลก”

สิบสองสิงหาคม พุทธศักราชสองพันห้าร้อยห้าสิบเอ็ด

ณ บ้านเลขที่สิบเจ็ด ถนนควินตัน ฮาร์บอร์น เบอร์มิงแฮม สหราชอาณาจักร

Friday, August 01, 2008

เดินตามรายเท้าพ่อ -- The Footstep of My Father

เดินตามรอยเท้าพ่อ

ฉันเดินตามรอยเท้าอันรวดเร็วของพ่อโดยไม่หยุด
ผ่านเข้าไปในป่าใหญ่ น่ากลัว ทึบ
แผ่ไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด มืดและกว้าง
มีต้นไม้ใหญ่เหมือนหอคอยที่เข้มแข็ง

ลูกเอ๋ย…

ในโลกนี้ไม่มีที่ไหนดอกที่มีความรื่นรมย์
และความสบายสำหรับเจ้า
ทางของเรามิได้ปูด้วยดอกไม้สวยสวย
จงไปเถิด แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่บีบคั้นหัวใจเจ้า
พ่อเห็นแล้วว่า หนามตำเนื้ออ่อนอ่อนของเจ้า
เลือดของเจ้า เปรียบดั่งทับทิมบนใบหญ้าใกล้น้ำ
น้ำตาของเจ้าที่ไหลต้องพุ่มไม้สีเขียว
เปรียบดั่งเพชรบนมรกตที่แสดงความงดงามเต็มที่
เพื่อมนุษยชาติ จงอย่าละความกล้า
เมื่อเผชิญกับความทุกข์ให้อดทนและสุขุม
และจงมีความสุขที่ได้ยึดอุดมการณ์ที่มีค่า

ไปเถิด…

ถ้าเจ้าต้องการเดินตามรอยเท้าพ่อ

พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เรื่อง "เดินตามรอยเท้าพ่อ"

นิตยสาร National geographic ประจำเดือนตุลาคม ค.ศ.1982 ได้ถ่ายทอดเป็นภาษาอังกฤษ ดังนี้

This precious work is written by H.R.H. Princess Maha Chakri Sirindhorn and translated from Thai to English by The National Geographic Magazine, October 1982.

The Footstep of My Father

“ Through the dark jungle, very dense,
Which stretches out interminably , somber and immense…
I follow without stopping the footstep of my Father.
Oh Father, I am dying of hunger and I am tired.
Look! The blood is running from my two wounded feet…
Father! Will we arrive at our destination?

Child!… On the earth there exists no place
Full of pleasure and comfort for you.
Our road is not covered with pretty flowers.

Go! Always,even if it breaks your heart.
I see the thornes prick your tender skin.
Your blood: rubies on the grass, near the water.
On the green shruberry, your tears dropped.
Diamonds on emerald, show their beauty.
For all the human race does not lose its courage.
In the face of pain. Be tenacious and wise.
And be happy to have and ideal so dear.

Go! If you want to walk in the Footstep of your Father.”

ที่มา : ปูมของพระราชสมัญญานาม "เจ้าฟ้าบนอินเตอร์เน็ต"

http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A5554522/A5554522.html

Sunday, July 13, 2008

ข่าวดี (จริงๆ)

เมื่อวาน 11 กรกฎาคม 2551 ได้รับข่าวดีว่า พี่มาก แห่ง Corrosion Lab ของพวกเรามีลูกสาวตัวเล็กๆ แล้ว
คลอดตอนตีห้าสิบห้านาที แม่และลูกแข็งแรง ทุกคนในครอบครัวเหนื่อยมาก ลูกสาวพี่มากหนักสามกิโลครึ่ง
อยากรู้จังว่าแกจะตื่นเต้นมากแค่ไหนนะ แล้วจะตั้งชื่อลูกสาวคนนี้ว่าอะไร

ในที่สุดพี่มากแกก็มี Corrosion product เป็นของตัวเองแล้ว ไชโย woohooooooooo....

แสดงความยินดีกับแกอีกรอบ ขอให้เป็นพ่อที่น่ารักของลูกสาวนะคะ

Dear Mark,

I know you'll be a great dad!!

Best wishes,

Supinya

Monday, July 07, 2008

ข่าวดีจ้า -- good news

ขอเบรคเรื่อง "รักที่พูดไม่ได้ของทอง" มาเป็นข่าวดีก่อนนะคะ...

ข่าวดีที่น่าดีใจก็คือ...

พี่มากของฉัน กำลังจะเป็นคุณพ่อล่ะ จริงๆ ก็รู้มาหลายเดือนแล้วล่ะ แต่แกคงจะได้เป็นคุณพ่อเร็วๆ นี้ อยากให้แกได้ลูกสาวจริงๆ เลย เพราะแกเหมาะมากที่จะมีลูกสาว

สองสามเดือนก่อน วันที่รู้ว่าแกกำลังจะเป็นคุณพ่อ ฉันกำลังนั่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ แกก็เดินผ่านหลังฉันออกไปห้องแล็บ ก่อนออกจากห้องแกหันมาพูดกับฉันว่า ไปดูที่เครื่องคอมฯ แกสิ พอได้เห็นที่หน้าจอเท่านั้นล่ะ ฉันอดดีใจ กระโดดโลดเต้นไม่ได้ เพราะ screensaver ของแก เป็นรูปสแกนเด็กที่อยู่ในท้อง ตอนนั้นฉันตื่นเต้นดีใจมากๆ นี่ขนาดไม่ได้เป็นพ่อหรือแม่เอง ฉันยังตื่นเต้นกับแกขนาดนี้ ถ้าหากฉันได้เป็นแม่คนจริงๆ ขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะตื่นเต้นขนาดไหน แต่เรื่องนั้นไม่อยากพูดถึง เพราะไม่รู้จะมีโอกาสกับเขาหรือเปล่า เพราะนี่ยังหาคนที่จะมาเป็นพ่อของลูกในอนาคตไม่ได้เลย เหอๆ (ยิ้มแห้งๆ)

เม้าท์เรื่องพี่มากต่อดีกว่า พอฉันรู้ว่าแกกำลังจะเป็นคุณพ่อ ฉันก็ดีใจมากๆ รีบวิ่งไปหาแกที่ห้องแล็บ ถามแกว่ากี่เดือนแล้ว แกก็บอกว่าจะคลอดประมาณกรกฎาคม ฉันเลยบอกแกว่าน่าจะรอคลอดเดือนสิงหานะ เพราะคนเกิดเดือนนี้น่ารักๆ ทั้งนั้น (เนอะ) หุหุ ^_^

นี่ก็ผ่านวันนั้นที่ฉันรู้ว่าแกกำลังจะเป็นคุณพ่อมาหลายเดือนแล้ว ภายในเดือนนี้คาดว่าแกคงต้องห่างหายจากแล็บไปดูแลลูกและแม่ของลูกเป็นแน่แท้

ยังไงก็ขอยินดีกับพี่มากจากใจจริง

To Mark..

Wish you all the best. Warmest congratulations and best wishes to you, your wife and your coming new baby.

Best wishes,

Supinya
^________________________________^ Bigggggggggg smile to your new baby.

Monday, May 26, 2008

เรื่องของเท็ดดี้ สต๊อดดาร์ด


คุณครูทอมป์สัน “โกหก” นักเรียนชั้น ป.5 ของครูทั้งชั้นเสียแล้ว!!!
ตั้งแต่วันแรกเลยด้วย เพราะคุณครูบอกพวกเขาว่า
ครูรักเด็กๆ เท่ากันหมด
แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้...
เพราะว่ามีเด็กตัวเล็กๆ ท่าทางขี้เกียจคนนึง ชื่อ
“เท็ดดี้ สต๊อดดาร์ด”
ครูทอมป์สัน ได้จับตาดูเท็ดดี้มาปีนึง และสังเกตว่า
เขาไม่ค่อยเล่นดีๆ กับเด็กคนอื่นเท่าไหร่
เสื้อผ้าของเขาสกปรก และเค้าตัวเหม็นหึ่งอยู่ตลอดเวลาด้วยแหละ
แถมบางทีเท็ดดี้ก็เกเราด้วย ถึงขั้นที่ว่า
ครูทอมป์สันสนุกกับการตรวจงานของเท็ดดี้ด้วยหมึกสีแดง
กากบาทหนาๆ และใส่ตัว “F” ตัวใหญ่ๆ ลงไปบนหัวกระดาษ !

ในโรงเรียนที่คุณครูทอมป์สันสอน
คุณครูจะต้องทบทวนประวัติของเด็กแต่ละคนด้วย
และครูก็ไม่ยอมตรวจประวัติของเท็ดดี้ จนกระทั่งเหลือแฟ้มสุดท้าย
แต่เมื่อคุณครูตรวจแฟ้มเข้า...
ครูทอมป์สันก็แปลกใจมาก เมื่อพบว่า

ครูชั้น ป.1 ของเท็ดดี้เขียนว่า
“น้องเท็ดดี้เป็นเด็กที่ฉลาดและร่าเริง ทำงานเรียบร้อย
มารยาทดี เป็นเด็กที่น่ารักมากทีเดียว”

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.2 เขียนว่า
“เท็ดดี้เป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เพื่อนๆ ชอบกันทุกคน
แต่กำลังมีปัญหา เพราะแม่ของเท็ดดี้กำลังป่วยหนัก
และชีวิตทางบ้านต้องลำบากมากแน่ๆ”

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.3 เขียนว่า
“เขาเสียใจมากที่เสียแม่ไป เขาพยายามเต็มที่แล้ว
แต่คุณพ่อก็ไม่ค่อยให้ความรัก ความสนใจเขาเท่าไหร่
และชีวิตที่บ้านเขา ต้องส่งผลกระทบต่อเขาแน่ๆ
ถ้าไม่มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ”

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.4 เขียนว่า
“เท็ดดี้ไม่ยอมเข้าสังคมและไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าที่ควร
ไม่ค่อยมีเพื่อน และหลับในห้องเรียน”

ตอนนี้ คุณครูทอมป์สันรู้ถึงปัญหาแล้ว
และอับอายในการกระทำของตนเองมาก
และครูรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก
เมื่อนักเรียนในห้องซื้อของขวัญวันคริสต์มาสมาให้
ห่อในกระดาษสีสดๆ พร้อมผูกโบว์อย่างดี ยกเว้นแต่ของเท็ดดี้
ของขวัญของเท็ดดี้...ถูกห่ออย่างหยาบๆ ในกระดาษลูกฟูกหนาๆ
ที่ได้มาจาก “ถูงใส่กับข้าว”

ครูทอมป์สันกัดฟันเปิดกล่องของเท็ดดี้กลางกองของขวัญอื่นๆ
เด็กบางคนเริ่มหัวเราะเมื่อเห็นว่า เท็ดดี้ให้กำไลลูกปัดที่ไม่ครบเส้น
และขวดน้ำหอมที่เหลือน้ำหอมอยู่แค่ก้นขวดแก่เขา

แต่ครูก็หยุดเสียวหัวเราะของเด็กๆ
เมื่อครูเอ่ยขึ้นว่า กำไลเส้นนั้นสวยเหลือเกินเมื่อสวมมันไว้ที่ข้อมือ
และฉีดน้ำหอมไปบนข้อมือด้วย

เท็ดดี้ สตอดดาร์ดรออยู่จนถึงตอนเย็น เพื่อที่จะพูดกับคุณครูว่า
“ครูทอมป์สันครับ วันนี้ครูตัวหอม...เหมือนที่แม่ผมเคยหอมเลยครับ”

หลังจากที่นักเรียนทุกคนกลับบ้าน
ครูทอมป์สันก็ร้องไห้อย่างนั้นเป็นชั่วโมงๆ
ในวันนั้นเอง ที่คุณครูเลิกสอนหนังสือ เลิกสอนการเขียน
และเลิกสอนเลขคณิต...
แต่คุณครูเริ่มหันมาสอนที่ใจเด็กๆ แทน

หลังจากนั้น คุณครูทอมป์สันก็เอาใจใส่เท็ดดี้เป็นพิเศษ
เมื่อครูพยายามช่วยเขา จิตใจของเขาก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ยิ่งครูให้กำลังใจเท็ดดี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตอบรับเร็วขึ้นเท่านั้น
ภายในสิ้นปีนั้น...เท็ดดี้ได้กลายเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในห้อง!!
แม้ว่าคุณครูจะบอกว่า ครูรักเด็กทุกคนเท่ากัน
เท็ดดี้ได้กลายไปเป็น “ศิษย์โปรด” ของครูไปแล้ว

หนึ่งปีต่อมา คุณครูพบจดหมายอยู่ใต้ประตู
จดหมายนั้นมาจากเท็ดดี้
บอกครูว่า คุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี

หกปีต่อมา ครูก็ได้จดหมายจากเท็ดดี้อีก
บอกว่าเขาเรียนจบมัธยมปลายแล้ว ได้ที่สามในทั้งระดับ
และคุณครูยังคงเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาในชีวิต

สี่ปีหลังจากนั้น คุณครูก็ได้จดหมายอีก
บอกว่าแม้ว่า ชีวิตเขาจะลำบาก เขาก็ไม่ได้เลิกเรียนหนังสือ
และจะจบปริญญาตรีในเร็วๆ นี้ ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
และยังย้ำกับครูทอมป์สันว่า คุณครูเป็นครูที่ดีที่สุด
และเป็นครูคนโปรดในชีวิตเขา

จากนั้นสี่ปีผ่านไป จดหมายอีกฉบับหนึ่งก็มา
ครั้งนี้เขาอธิบายว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาตรีแล้ว
เขาตัดสินใจที่จะเรียนต่ออีกนิด
จดหมายนั้นอธิบายว่า คุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี
แต่ตอนนี้ชื่อของเขายาวขึ้นอีกหน่อย
จดหมายนั้นลงชื่อว่า
“นพ.ทีโอดอร์ เอฟ สต๊อดดาร์ด”

เรื่องยังไม่จบแค่นี้
ฤดูใบไม้ผลินั้น ก็ยังมีจดหมายมาอีก เท็ดดี้บอกว่า
เขาได้เจอผู้หญิงที่ดีคนนึง แล้วก็กำลังจะแต่งงานกัน
เขาเล่าว่าพ่อของเขาได้เสียไปเมื่อสองสามปีก่อน และไม่แน่ใจว่า
คุณครูทอมป์สันจะตกลงมานั่งในที่สำหรับพ่อแม่เจ้าบ่าว
ในงานแต่งงานได้หรือไม่

แน่นอนที่สุด
ครูทอมป์สันก็มา และทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น

คุณครูใส่กำไลข้อมือเส้นนั้น...
เส้นที่มีลูกปัดหายไปหลายลูก และฉีดน้ำหอม ที่เท็ดดี้จำได้ว่า
แม่เขาฉีดตอนที่ฉลองเทศกาลคริสต์มาสครั้งสุดท้ายด้วยกัน
ครูกับศิษย์กอดกันกลม
และคุณหมอเท็ดก็กระซิบในหูคุณครูทอมป์สันว่า

“ขอบคุณมากนะครับที่คุณครูเชื่อในตัวผม
ขอบคุณมากที่ทำให้ผมรู้สึกเป็นคนสำคัญ
และแสดงให้ผมเห็นว่า ผมสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้”


ครูทอมป์สันกระซิบตอบพร้อมน้ำตานองหน้าว่า
“หมอเท็ด เธอเข้าใจผิดแล้ว...
เธอต่างหากที่สอนครูว่า ครูสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้
ครูไม่เคยรู้จักการสอน จนกระทั่งครูได้พบได้รู้จักเธอนั่นแหละ”

โปรดจำว่า

ไม่ว่าคุณจะไปไหน หรือทำอะไร คุณจะมีโอกาสที่จะสัมผัส
และเปลี่ยนอนาคตของคนอื่นเสมอ...

จงเติมเต็มหัวใจของคนอื่นด้วย “ความรัก ความเมตตา” เสียแต่วันนี้

ที่มา: อินเตอร์เน็ท แปลลงในหนังสือ L.O.V.E. B O X กล่องบุญ 3
โดย ภัทริน ซอโสตถิกุล

The Story of Teddy Stoddard


Her name was Mrs. Thompson.

As she stood in front of her 5th grade class on the very first day of school, she told the children a lie.

Like most teachers, she looked at her students and said that she loved them all the same. But that was impossible, because there in the front row, slumped in his seat, was a little boy named Teddy Stoddard.

Mrs. Thompson had watched Teddy the year before and noticed that he didn't play well with the other children, that his clothes were messy and that he constantly needed a bath. And Teddy could be unpleasant.

It got to the point where Mrs. Thompson would actually take delight in marking his papers with a broad red pen, making bold X's and then putting a big "F" at the top of his papers.

At the school where Mrs. Thompson taught, she was required to review each child's past records and she put Teddy's off until last. However, when she reviewed his file, she was in for a surprise.

Teddy's first grade teacher wrote,

"Teddy is a bright child with a ready laugh. He does his work neatly and has good manners...he is a joy to be around."

His second grade teacher wrote,

"Teddy is an excellent student, well liked by his classmates, but he is troubled because his mother has a terminal illness and life at home must be a struggle."

His third grade teacher wrote,

"His mother's death had been hard on him. He tries to do his best, but his father doesn't show much interest and his home life will soon affect him if some steps aren't taken."

Teddy's fourth grade teacher wrote,

"Teddy is withdrawn and doesn't show much interest in school. He doesn't have many friends and he sometimes sleeps in class".

By now, Mrs. Thompson realized the problem…
and she was ashamed of herself.

She felt even worse when her students brought her Christmas presents, wrapped in beautiful ribbons and bright paper, except for Teddy's.

His present was clumsily wrapped in the heavy, brown paper that he got from a grocery bag.

Mrs. Thompson took pains to open it in the middle of the other presents.

Some of the children started to laugh when she found a rhinestone bracelet with some of the stones missing, and a bottle that was one quarter full of perfume.

But she stifled the children's laughter when she exclaimed how pretty the bracelet was, putting it on, and dabbing some of the perfume on her wrist.

Teddy Stoddard stayed after school that day just long enough to say,

"Mrs. Thompson, today you smelled just like my Mom used to.

"After the children left she cried for at least an hour. On that very day, she quit teaching reading, and writing, and arithmetic.

Instead, she began to teach children.

Mrs. Thompson paid particular attention to Teddy. As she worked with him, his mind seemed to come alive. The more she encouraged him, the faster he responded.

By the end of the year, Teddy had become one of the smartest children in the class and, despite her lie that she would love all the children the same,

Teddy became one of her "teacher's pets".

A year later, she found a note under her door, from Teddy, telling her that she was still the best teacher he ever had in his whole life.

Six years went by before she got another note from Teddy. He then wrote that he had finished high school, third in his class, and she was still the best teacher he ever had in his whole life.

Four years after that, she got another letter, saying that while things had been tough at times, he'd stayed in school, had stuck with it, and would soon graduate from college with the highest of honors. He assured Mrs. Thompson that she was still the best and favorite teacher he ever had in his whole life.

Then four more years passed and yet another letter came. This time he explained that after he got his bachelor's degree, he decided to go a little further. The letter explained that she was still the best and favorite teacher he ever had. But now his name was a little longer - the letter was signed, Theodore F. Stoddard, MD.

The story doesn't end there. You see, there was yet another letter that spring.

Teddy said he'd met this girl and was going to be married.

He explained that his father had died a couple of years ago and he was wondering if Mrs. Thompson might agree to sit in the place at the wedding that was usually reserved for the mother of the groom.

Of course, Mrs. Thompson did. And guess what?

She wore that bracelet, the one with several rhinestones missing. And she made sure she was wearing the perfume that Teddy remembered his mother wearing on their last Christmas together.

They hugged each other, and Dr. Stoddard whispered in Mrs.Thompson's ear,

"Thank you Mrs. Thompson for believing in me. Thank you so much for making me feel important and showing me that I could make a difference."

Mrs. Thompson, with tears in her eyes, whispered back.

She said, "Teddy, you have it all wrong. You were the one who taught me that I could make a difference. I didn't know how to teach until I met you."

~Author: Unknown~

Please remember that wherever you go, and whatever you do, you will have the opportunity to touch and/or change a person's outlook. Please try to do it in a positive way.

Ref: http://www.angelfire.com/hi/EvasPlace/TeddyStoddard.html